Age-Related Eye Diseses โรคตาที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ

โรคจอตาเสื่อมตามอายุ (AMD)



            นิยามของโรค

                     เป็นโรคที่เกิดจากการที่จุดศูนย์กลางการรับภาพของจอประสาทตาผิดปกติ  เป็นเหตุทำให้ผู้ป่วยมีสายตาเลือนรางหรือตาบอด โดยเฉพาะตรงกลางของภาพ แต่ในส่วนบริเวณด้านข้างยังคงมองเห็นอยู่ ซึ่งอาการดังกล่าวเริ่มพบได้ในผู้ที่อายุมากกว่า 40 ปีและจะพบได้มากในผู้ที่อายุ 65 ปี เป็นส่วนใหญ่ อาการของโรคจะลดระดับการมองเห็นลงเรื่อยๆ หากไม่ได้รับการรักษา จะมองไม่เห็นในที่สุด ภายในระยะเวลา 2 ปี  ซึ่งผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ นอกจากนี้ยังพบว่า หากผู้ใดป่วยเป็นโรคนี้ที่ตาข้างใดข้างหนึ่งจะมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดโรคนี้ที่ตาอีกข้างหนึ่ง โดยพบข้อมูลความเสี่ยงมากกว่าร้อยละ 40 ภายในระยะเวลา 5 ปี หลังจากที่เกิดที่ตาข้างแรก
      ผู้ป่วยแต่ละรายจะแสดงอาการของโรคแตกต่างกันไป ซึ่งในระยะเริ่มแรกที่เป็นจะสังเกตยากด้วยตนเอง เนื่องจากตาอีกข้างหนึ่งยังมองเห็นปกติ อาการดังกล่าวอาจปรากฏหลายปีกว่าผู้ป่วยจะรับรู้ได้ แต่หากจอประสาทตาเริ่มเสื่อมทั้งสองข้าง ผู้ป่วยจะสามารถรับรู้ได้ถึงความผิดปกติในการมองเห็น อาการที่แสดงออกจนทำให้รับรู้ได้ถึงความผิดปกติ เช่น มองภาพตรงกลางไม่ชัดหรือเป็นภาพมืดดำ หรือมองเห็นภาพบิดเบี้ยวไป เป็นต้น


                    จากเหตุผลดังกล่าว จึงมีคำแนะนำให้ผู้อยู่ในช่วงอายุ 40-64 ปี ได้รับการตรวจสุขภาพตาและจอประสาทตา แม้ว่าจะยังไม่เกิดสิ่งผิดปกติในการมองเห็นก็ตาม  โดยทำการตรวจทุก 1-2 ปี เนื่องจากหากตรวจพบความผิดปกติในระยะเริ่มแรกจะช่วยชะลอหรือหยุดอาการของโรคให้เสื่อมช้าลง ซึ่งจากที่กล่าวไว้ข้างต้นแล้วว่า หากจอประสาทตาเสื่อมจะไม่สามารถรักษาให้หายได้ จึงจำเป็นที่จะต้องตรวจสุขภาพตาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อจะรักษาชะลออาการจอประสาทตาเสื่อมให้ช้าที่สุด

อาการของโรคจอประสาทตาเสื่อม 
ผู้ป่วยอาจไม่รับรู้ถึงความผิดปกติในระยะแรก แต่อาจทราบถึงอาการป่วยได้โดยบังเอิญจากการ ตรวจสุขภาพตาประจำปี หรือจากการวัดสายตา
ตารับภาพไม่ชัด มีอาการมัวลง โดยเฉพาะที่ตรงกลางภาพ ผู้ป่วยจะมองเห็นเป็นเงาดำบังอยู่ ซึ่งเป็นปัญหาสำหรับผู้ป่วย ทำให้มองภาพไม่ชัด อ่านหนังสือ ขับรถ จำหน้าคน หรือทำงานที่ใช้ความละเอียดได้ยาก ลักษณะเช่นนี้ส่งผลกระทบต่อการทำงานและใช้ชีวิตของผู้ป่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเดินทาง จึงควรมีคนคอยช่วยเหลือ อย่างไรก็ตามผู้ป่วยเป็นโรคนี้จะสูญเสียการมองเห็นตรงตำแหน่งกลางภาพเท่านั้น  ส่วนการมองภาพด้านข้างหรือบริเวณขอบตายังคงมองเห็นได้ปกติ ตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้อาจมองเห็นใบหน้าคนเป็นภาพเบลอ ไม่ขัด แต่ยังคงมองเห็นตัวคนได้ และถ้ามองนาฬิกาก็จะเห็นส่วนที่เป็นขอบของนาฬิกา แต่ไม่สามารถบอกเวลาได้ กล่าวโดยสรุป ผู้ป่วยที่เป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมจะสูญเสียการมองเห็นในบางส่วนแต่ไม่ใช่ตาบอดหรือมองไม่เห็นทั้งหมด ดังนั้นผู้ป่วยจึงยังพอที่จะช่วยเหลือตัวเองได้
มองภาพบิดเบี้ยวผิดปกติไป หากอยู่ในระยะใกล้จะยิ่งเห็นเป็นภาพบิดเบี้ยวมากขึ้น การรับภาพเส้นตรงจะเป็นเส้นคด เป็นคลื่น หรือเป็นเส้นขาด  มองป้ายจราจรผิดปกติ คุณภาพการมองเห็นลดลง
ตารับภาพไม่ชัดเมื่ออยู่ในที่สลัว หรือมีแสงไม่พอ เวลาอ่านหนังสือหรือทำงานที่ละเอียดต้องมีแสงสว่างมากขึ้น
ตารับขนาดของภาพเปลี่ยนไป โดยมองเห็นสิ่งต่างๆ มีขนาดเล็กลงกว่าปกติหรือมีระยะที่ห่างออกไป
ตามัวลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะพบมากในผู้ป่วยที่มีอาการจอประสาทตาเสื่อมอย่างรุนแรง หรือในรายที่มีเลือดออกมายังน้ำวุ้นลูกตาและบริเวณใต้จอประสาทตา
อาการดังกล่าวจะสังเกตได้ยาก ผู้ป่วยอาจไม่รู้สึกตัวถึงความผิดปกติในการมองหากเป็นเพียงข้างเดียว แต่หากเกิดอาการของโรคกับตาทั้งสองข้าง ผู้ป่วยก็จะสามารถรับรู้ได้


      เปรียบเทียบลักษณะการมองเห็นของคนปกติกับคนที่เป็นโรค
                        สำหรับคนที่เป็นโรคจอตาเสื่อมตามอายุจะมองภพตรงกลางเห็นเป็นจุดดำๆ หรือภาพที่บิดเบี้ยว แต่ส่วนขอบๆของภาพยังชัดดีอยู่ ถ้ามองที่ตารางจะเห็นเส้นตรงที่ตรงกลางนั้นจะบิดเบี้ยวไป




                ภาวะแทรกซ้อนของโรคจอประสาทตาเสื่อม
                        ดังที่กล่าวมา โรคนี้ไม่ได้ทำให้ผู้ป่วยตาบอด แต่เป็นโรคที่ทำให้การมองเห็นในบางส่วนผิดปกติไป ซึ่งจะส่งผลต่อการทำงาน การใช้ชีวิต เช่น การอ่านหนังสือ การขับรถ การจำหน้าคน รวมถึงการมองในระยะไกล

               ปัจจัยเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดโรค/วิธีหลีกเลี่ยง
                1.อายุ ผู้ที่อยู่ในช่วงอายุ 50-60 ปี มีความเสี่ยงมากที่จะเกิดโรคนี้
                2.พันธุกรรม จากการวิจัยพบว่า ยีนมีความสัมพันธ์กับโรคจอประสาทตาเสื่อม และพบว่า ผู้ป่วยร้อยละ 50 มักมีบุคคลในครอบครัวที่ปรากฏโรคดังกล่าว จึงมีคำแนะนำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทางพันธุกรรมสายตรงกับผู้ป่วยเข้ารับการตรวจอย่างสม่ำเสมอในทุก 2 ปี
                3.เชื้อชาติ มักพบโรคนี้ในคนผิวขาว
                4.เพศหญิง มักพบผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย
                5.ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางอย่างจะมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียก ซึ่งพบว่า ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือดแข็ง โรคความดัน และผู้ที่มีคลอเลสเตอรอลในเลือดสูง และมีระดับแคโรทีนอยด์ในเลือดต่ำ มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคนี้
             6.ผู้ที่เป็นโรคอ้วน มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม
             7.วัยหมดประจำเดือน มีรายงานว่า หญิงในวันหมดประจำเดือนและไม่ได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจน มีโอกาสเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อ,
             8.ผู้ที่มีความผิดปกติทางสายตา ไม่ว่าจะเป็นสายตาสั้นหรือสายตายาวมีโอกาสเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม
             9.ผู้ที่สูบบุหรี่หรือได้รับควันบุหรี่ มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคนี้ เนื่องจากในควันบุหรี่มีสารพิษสามารถทำลายเซลล์ประสาทตาได้ โดยพบว่า ผู้ที่สูบบุหรี่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้มากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ถึง 6 เท่า และยังพบว่าผู้ที่สูบบุหรี่มีความเสี่ยงต่อการเป็น    โรคนี้เร็วกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ถึง 10 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่สูบบุหรี่แล้วมีคนในครอบครัวเป็นโรคนี้จะมีความเสี่ยงมากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ถึง 30 เท่า
                10.การดื่มสุรา

          ชนิดของจอประสาทตาเสื่อม


                    1. แบบแห้ง (Dry AMD)
                        ชนิดแบบแห้งนี้พบมากที่สุด ซึ่งเกิดจากการเสื่อมลงตามอายุ โดยมีอาการเริ่มแรกของโรค คือ การมองภาพไม่ชัด เบลอ เห็นหน้าคนไม่ชัดเจน การมองหรือทำกิจกรรมต่างๆ ต้องอาศัยแสงสว่างมากขึ้น ในบางรายอาจมีอาการเริ่มต้นจากการมัวลงเล็กน้อย แต่ความสามารถในการมองเห็นจะลงลงอย่างช้า ๆ เมื่อเวลาผ่านไป




เซลล์บริเวณ macular เสื่อมลง
ลักษณะภาพที่เห็นคือมีจุดดำๆหลายจุดบริเวณตรงกลาง โดยรอบๆยังชัดอยู่
     
                 2. แบบเปียก (Wet AMD) 
                    จากสถิติพบว่า ผู้ป่วยเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียกนี้จะสูญเสียการมองเห็นอย่างรวดเร็ว และเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดอาการตาบอดในศูนย์กลางจอประสาทตา  ทั้งนี้มาจากการที่เส้นเลือดงอกผิดปกติที่ใต้จอประสาทตา ทำให้ของเหลวและเลือดที่อยู่ภายในไหลซึมออกมาส่งผลให้เกิดการบวมที่จุดศูนย์กลางการรับภาพ ทำให้ผู้ป่วยมองภาพบิดเบี้ยว เซลล์ประสาทตาตาย ในที่สุดผู้ป่วยจะสูญเสียการมองเห็น อาการเริ่มต้นของผู้ป่วยเป็นโรคนี้ คือ เริ่มมองเส้นตรงเป็นเส้นโค้งบิดเบี้ยว ภาพเป็นสีซีดจางกว่าปกติ และบางครั้งอาจเห็นจุดมืดดำบริเวณกลางภาพ  ซึ่งโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียกนี้พบประมาณ 10 - 15 % ของโรคจอประสาทตาเสื่อมทั้งหมด



หลอดเลือดผิดปกติอยู่ใต้จอประสาทตาทำให้เลือด
และของเหลวที่อยู่ภายในซึมออกมา เป็นผลให้ macular บวม
เห็นภาพสีซีดจางกว่าปกติ และอาจเห็นจุดมืดดำที่ตรงกลางภาพ

                   อย่างไรก็ตาม เราสามารถทดสอบความผิดปกติของโรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมด้วยตัวเองได้ โดยใช้แผ่นทดสอบ "แอมส์เลอร์กริด" (Amsler Grid) วิธีการคือ นำแผ่นทดสอบไปติดบนผนังที่มีแสงสว่างเพียงพอ ให้อยู่ในระดับสายตา แล้วยืนห่างจากแผ่นภาพประมาณ 40 เซนติเมตร ใช้มือปิดตาข้างหนึ่งแล้วมองไปที่จุดสีดำที่อยู่ตรงกลางแผ่นทดสอบ ให้ทดสอบเช่นนี้กับตาทีละข้าง หากมองเห็นลายเส้นตรงบนแผ่นทดสอบพร่ามัว ไม่ชัด มีลักษณะเป็นคลื่น หงิกงอ ขาดจากกัน หรือบางพื้นที่หายไปจากที่มองเห็น ควรรีบไปพบจักษุแพทย์ เพื่อทำการตรวจอย่างละเอียดหาสาเหตุของลักษณะความผิดปกติที่เป็น ซึ่งอาจตรวจโดยใช้กล้อง Slit Lamp Biomicroscope หรืออาจฉีดสีเพื่อถ่ายภาพจอประสาทตา หรือเข้าเครื่องตรวจวิเคราะห์ภาพตัดขวางจอประสาทตา



             วิธีป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อม
                    แม้ว่าจะยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของโรคจอประสาทตาเสื่อม และยังมีความสัมพันธ์กับปัจจัยหลายประการที่ไม่สามรถแก้ไขได้ เช่น อายุ พันธุกรรม แต่จากปัจจัยเสี่ยงบางประการเราสามารถหลีกเลี่ยงและป้องกันได้ ดังนั้นเพื่อเป็นการชะลอความรุนแรงของโรคหรือลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้ จึงควรปฏิบัติตนตามคำแนะนำดังต่อไปนี้
                     1. ตรวจสุขภาพตาสม่ำเสมอ ซึ่งสามารถเริ่มตรวจได้ในวัยเด็กที่มีอายุ 2-3 ปี หรือทุกช่วงวัย แต่หลังจากนี้ให้ไปตรวจตามคำแนะนำของจักษุแพทย์ หรือตามที่แพทย์นัด ในผู้ที่มีบุคคลในครอบครัวป่วยเป็นโรคนี้ควรได้รับการตรวจเป็นประจำเพื่อทราบความเสี่ยงต่อการเกิดโรคดังกล่าว
                     2. ไม่สูบบุหรี่หรือหลีกเลี่ยงที่มีควันบุหรี่
                     3. ไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
                     4. ออกกำลังเป็นประจำและควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์
                     5. หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่มีแสงแดดจ้าหรือมีรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) เป็นระยะเวลานาน ควรใสแว่นกันแดดที่ป้องกันรังสียูวีได้ตั้งแต่ 90% ขึ้นไป
                     6. ป้องกันและควบคุมโรคที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และโรคไขมันในเลือดสูง โดยทำการตรวจสุขภาพทุกปี เริ่มตั้งแต่อายุ 18-20 ปี
                     7. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ เป็นประจำ โดยเฉพาะผักใบเขียว ผลไม้ เมล็ดธัญพืช ปลา อาหารที่ต้านอนุมูลอิสระ เพื่อช่วยให้เซลล์ประสาทตาแข็งแรง และยังช่วยป้องกันการเกิดโรคต่างๆ ที่จะเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม
                      8. เน้นการรับประทานอาหารที่มีสารมีเบต้าแคโรทีน อาหารที่มีสารลูทีน (Lutein) และซีแซนทีน (Zeaxanthin) สูง เช่น ผักคะน้า ผักปวยเล้ง ผักกาดแก้ว ผักโขม บรอกโคลี ข้าวโพด ฟักทอง ถั่วลันเตา แขนงกะหล่ำ กะหล่ำปลี แตงกวา พริก ส้ม แอปเปิ้ล องุ่น มะม่วง และไข่แดง เป็นต้น
                      9. รับประทานอาหารเสริมต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซี วิตามินอี  เบต้าแคโรทีน และสังกะสี/ซิงค์ ซึ่งมีประโยชน์จะสามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมอย่างรุนแรงโดยเฉพาะในรายที่มีความรุนแรงในระยะ 3 หรือ 4 จะสามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมอย่างรุนแรงลงได้ประมาณ 25% และยังช่วยลดความเสี่ยงจากการมองไม่เห็นเนื่องจากจอประสาทตาเสื่อมได้ประมาณ  19%  แต่ไม่สามารถช่วยป้องกันการเกิดโรค หรือมีประโยชน์ต่อผู้ป่วยที่เริ่มเป็นในระยะ 1 หรือ 2 

             แนวทางการแก้ไข 
                     ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้งให้หายขาดได้ ที่ทำได้คือ การชะลอการเกิดโรค โดยการตรวจสุขภาพตาอย่างสม่ำเสมอ และการควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคดังกล่าว ส่วนโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียก สามารถรักษาได้โดยการผ่าตัด โดย
1. การฉายแสงเลเซอร์ที่ทำให้เกิดความร้อนลงบนจอประสาทตา (Laser Photocoagulation)  
เพื่อชะลอหรือยับยั้งเส้นเลือดที่ผิดปกติ ซึ่งทำให้เกิดอาการเลือดออกบริเวณใต้จอประสาทตา ผลข้างเคียงจากการรักษาด้วยวิธีนี้คือ ความสามารถในการมองเห็นของผู้ป่วยจะลดลงทันที เนื่องจากความร้อนจะเข้าไปทำลายเซลล์ประสาทตาอื่น ๆ ที่ถูกแสงเลเซอร์ด้วย ทำให้เกิดเป็นจุดมืดดำอย่างถาวร ดังนั้นการรักษาด้วยวิธีนี้จึงเหมาะกับผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของโรคอยู่ห่างจากศูนย์กลางจอประสาทตาพอสมควร


                    2. การฉายแสงเลเซอร์ที่ไม่ทำให้เกิดความร้อนภายหลัง ร่วมกับการให้ยาเข้าทางเส้นเลือด (Photodynamic Therapy : PDT) 


                             ขั้นตอนการรักษาทำได้โดยการให้ยาเข้าทางเส้นเลือด ผ่านไปตามระบบไหลเวียนโลหิต และจับกับเซลล์ที่มีการแบ่งตัวที่ผนังหลอดเลือดที่ผิดปกติใต้จอประสาทตา จากนั้นจึงฉายแสงเข้าไปช่วยกระตุ้นให้ยาทำลายหลอดเลือดที่ผิดปกติ โดยไม่มีผลกระทบกับจอประสาทตาบริเวณนั้น หลังการรักษาผู้ป่วยจะสามารถมองเห็นเช่นเดียวกับก่อนการรักษา ในรายที่เป็นไม่มาก อาการของโรคไม่รุนแรง หลังการรักษาการมองเห็นอาจกลับคืนมาใกล้เคียงกับคนปกติได้
              
                        3. การฉีดยากลุ่ม Anti-Vascular Endothelial Growth Factor : Anti-VEGF เข้าไปในน้ำวุ้นตา เพื่อให้เส้นเลือดที่งอกผิดปกติฝ่อไป ซึ่งในเวลา 1 เดือน จะต้องฉีดอย่างน้อย 3 ครั้ง และอาจต้องฉีดยาเพื่อรักษาต่อเนื่องในทุก 2-3 เดือน 


                          4. การผ่าตัด วิธีนี้จะทำในกรณีที่มีเลือดออกใต้ศูนย์กลางรับภาพ โดยการฉีดยาเข้าไปละลายเลือดที่แข็งตัว และฉีดแก๊สเข้าไปไล่เลือดให้ขยับออกจากศูนย์กลางจอรับภาพ


                     หากผู้ใดเกิดอาการดังกล่าวมาข้างต้น ควรรีบไปพบจักษุแพทย์อย่างรวดเร็ว ในรายที่เกิดอาการมองภาพผิดปกติอย่างฉับพลันควรรีบไปพบแพทย์ทันที การดูแลรักษาตนเองถือเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ผู้ป่วยจึงควรปฏิบัติตนดังต่อไปนี้
                          1. ปฏิบัติตามคำแนะนำของจักษุแพทย์อย่างเคร่งครัด ถูกต้อง ครบถ้วน รวมถึงการใช้ยาตามที่แพทย์สั่'
                          2. รักษาสุขภาพจิต ปรับการใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับสายตา เพื่อจะได้พึ่งตนเองให้ได้มากที่สุด
                          3. พบจักษุแพทย์ตามนัดหมายอย่างสม่ำเสมอ หากพบอาการผิดปกติมากกว่าเดิมหรืออาการของโรคหนักกว่าเดิมให้ไปพบแพทย์ก่อนวันที่นัดหมายได้
















 เอกสารอ้างอิง
            1.หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.  “จุดภาพชัดเสื่อมตามวัด (Aged-related macular degeneration)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 958-960.
            2.ภาควิชาอาหารเคมี คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.  กินอะไรชะลอจอประสาทตาเสื่อม”.  (รศ.วิมล ศรีศุข).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.pharmacy.mahidol.ac.th.  [14 ธ.ค. 2016].
            3.มูลนิธิหมอชาวบ้าน.  โรคจอประสาทตาเสื่อม”.  (นพ.ณวพล กาญจนารัณย์).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.doctor.or.th.  [15 ธ.ค. 2016].
             4.มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 395 คอลัมน์ : รักษ์ ดวงตา”.  “โรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อม”.  (รศ.นพ.ศักดิ์ชัย วงศกิตติรักษ์).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.doctor.or.th.  [15 ธ.ค. 2016]
             5.โรงพยาบาลพญาไท.  โรคจอประสาทตาเสื่อม ชนิด อาการ สาเหตุและการรักษา”.  (นพ.ทวีชัย พิตรปรีชา).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.phyathai.com.  [15 ธ.ค. 2016].


             6.หาหมอดอทคอม.  โรคจอตาเสื่อมในผู้สูงอายุ (Age-related macular degeneration หรือ AMD)”.  (ศ.เกียรติคุณ พญ.สกาวรัตน์ คุณาวิศรุต).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : haamor.com.  [16 ธ.ค. 2016]. http://www.rutnin.com/th/eye_knowledge/detail.32.1.html

วุ้นตาเสื่อม


            นิยามของโรค
โรควุ้นตาเสื่อม หรือที่เรียกว่า วุ้นในตาเสื่อม, น้ำวุ้นตาเสื่อม, น้ำวุ้นลูกตาเสื่อม หรือ น้ำวุ้นลูกตาตกตะกอน (ภาษาอังกฤษ : Vitreous floaters, Eye floaters หรือ Floaters) เป็นภาวะที่พบมากในผู้ที่อยู่ในช่วงวัยกลางคน มีอาการมองเห็นเป็นจุดเล็ก ๆ หรือมีลักษณะเป็นเส้น ๆ วง ๆ ลอยไปลอยมาในลูกตา หรืออาจมองเห็นเป็นเงาดำคล้ายยุง ลูกน้ำ หยากไย่ ในลูกตาข้างเดียวหรือทั้ง 2 ข้าง เมื่ออยู่ในที่สว่างจะเห็นได้ชัดเจน เช่น เมื่อแหงนมองท้องฟ้า หรือมองไปที่ผนังสีขาว ผู้ป่วยจะรู้สึกรำคาญเนื่องจากการเห็นภาพคล้ายหยากไย่ลอยอยู่ไป-มา แต่หากปล่อยนานไปก็จะรู้สึกชินกับการรับภาพดังกล่าว
หน้าที่ของวุ้นลูกตา คือ เป็นตัวกลางให้แสงผ่าน และยังช่วยพยุงลูกตาให้สามารถคงรูปเป็นทรงกลม นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งอาหารให้แก่แก้วตา จอประสาทตา และเนื้อเยื่อซีเลียรีบอดี้ (Ciliary body) จากสถิติพบว่า วุ้นลูกตาจะคลายความหนืดลงเมื่ออายุมากขึ้น ในผู้ที่มีอายุ 80 ปี จะมีลักษณะของวุ้นลูกตาที่กลายสภาพเป็นน้าใสประมาณครึ่งหนึ่งของวุ้นตาทั้งหมด ในผู้ป่วยรายที่มีสายตาสั้น พบว่า วุ้นลูกตาจะเสื่อมเร็วกว่าคนสายตาปกติ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดภาวะจอประสาทตาหลุดลอกได้ เนื่องจากวุ้นลูกตาที่เสื่อมจะไม่สามารถยึดติดกับจอประสาทตาได้

      

         อาการของโรค
            เมื่อเรากลอกตาไปมาจะมองเห็นเป็นจุดเล็ก ๆ เส้น ๆ หรือเป็นเงาดำคล้ายหยากไย่ ยุง ลูกน้ำ หรือแมลง หรืออาจมองเห็นเป็นวง ๆ ลอยไปลอยมาตามการกลอกตา ซึ่งลักษณะดังกล่าวอาจเกิดขึ้นที่ตาข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง อาจเห็นเพียงจุดเดียวหรือหลายจุดก็ได้ อาการดังกล่าวไม่เป็นอันตรายกับลูกตา และไม่ทำให้สายตามัวลง แต่ผู้ป่วยด้วยโรคนี้จะเกิดความรำคาญในการมองเห็น หากเมื่อนานไปผู้ป่วยก็จะรู้สึกชินกับภาวะดังกล่าวได้
                โดยทั่วไปอาการดังกล่าวจะไม่ปรากฏชัดเจนตลอดเวลา แต่ผู้ป่วยสามารถสังเกตได้เมื่ออยู่ในที่ที่มีแสงสว่าง เช่น เมื่อมองที่กระดาษสีขาว มองที่ผนังสีขาว หรือเมื่อแหงนมองไปบนท้องฟ้า หรือเมื่อกลอกตาไปทางซ้ายและขวา เป็นต้น อาการของวุ้นตาเสื่อมจะเกิดการหดตัวและส่งผลต่อการดึงรั้งจอประสาทตา ทำให้เกิดการมองเห็นแสงแฟลชถ่ายรูปหรือแสงวาบคล้ายฟ้าแลบในลูกตาได้เมื่ออยู่ในที่มืด อาการดึงรั้งจอประสาทตานี้อาจทำให้เกิดจอประสาทตาฉีกขาด  (Retinal tear) หรือเกิดภาวะจอประสาทตาหลุดลอก (Retinal detachment) ทำให้สูญเสียการมองเห็น หรือที่เรียกว่า ตาบอดได้

            

          ปัจจัยเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดวุ้นในตาเสื่อม
                   1.เมื่อมีอายุมากขึ้น พบในผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป
                   2.ผู้ที่มีสายตาสั้นมากกว่า 600
                   3.ผู้ที่มีอาการอักเสบในลูกตา หรือได้รับอุบัติเหตุทางดวงตาหรือบริเวณศีรษะ หรืออาจเคยผ่าตัดตามาก่อน เช่น การผ่าตัดต้อกระจก เป็นต้น
                   4.ผู้ป่วยที่มีภาวะเบาหวานขึ้นตา

                   5.ผู้ป่วยที่เป็นโรคตาบางชนิดที่ส่งผลให้วุ้นตาเสื่อม เช่น Jansen disease, Wagner disease, Stickler syndrome เป็นต้น 

              เปรียบเทียบลักษณะของตาคนปกติกับที่เป็นโรค

เทียบกับตาของคนปกติ ผู้ป่วนวุ้นในตาเสื่อมมี floaters ลอยอยู่ในตา
เมื่อแสงเข้ามาในตาแสงจะหักเหทำให้เกิดเงาขึ้นบนขอประสาทตา 
ผู้ป่วยจะเห็นภาพเหมือนหยากไย่ลอยอยู่ทำให้รู้สึกรำคาญ

            การป้องกันวุ้นตาเสื่อม
                   โดยทั่วไปหากวุ้นตาเสื่อมตามธรรมชาติจะไม่มีวิธีการป้องกันได้ แต่หากเกิดจากภาวะอื่นที่ส่งผลให้เกิดโรควุ้นตาเสื่อมก็จะสามารถป้องกันได้ตามลักษณะการเกิดจากสาเหตุนั้นๆ เช่น โรคเบาหวาน เป็นต้น ข้อแนะนำที่พึงปฏิบัติเพื่อป้องกันโรควุ้นตาเสื่อมมี ดังนี้
                         1.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ โดยเลือกออกกำลังให้เหมาะสมกับสุขภาพ ร่างกายของตน
                         2.รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่
                         3.ควรงดสูบบุหรี่
                         4.พยายามหลีกเลี่ยงการเกิดอุบัติเหตุที่จะส่งผลกระทบต่อดวงตา
                         5.มีการแนะนำให้ใช้วิตามินหรืออาหารเสริม แต่ก็ยังไม่มีการรับรองผลที่แน่นอน
                         6.ในผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ควรควบคุมดูแลโรคดังกล่าวเพื่อไม่ให้เสี่ยงต่อการเกิดภาวะโรควุ้นตาเสื่อม


            แนวทางการแก้ไข 
               ควรรีบไปพบจักษุแพทย์เมื่อมีอาการวุ้นลูกตาเสื่อ เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุของโรค และทำการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
                       1. ในผู้ป่วยรายที่มีอาการมองเห็นเงาดำลอยไป-มา แต่ไม่มีการฉีกขาดของจอประสาทตา ควรไปปรึกษาแพทย์เป็นระยะ ๆ สม่ำเสมอ และหมั่นสังเกตการเปลี่ยนแปลงอาการของโรค แต่ไม่ต้องทำการรักษาแต่อย่างใด เนื่องจากร่างกายจะชินกับสภาพการมองเห็นในลักษณะดังกล่าวได้เอง หากพบว่ามีอาการเปลี่ยนแปลงดังต่อไปนี้ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
                           - เห็นเงาดำจุดใหญ่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
                           - มองเห็นแสงแฟลชถ่ายรูปหรือแสงวาบคล้ายแสงฟ้าแลบในตา
                           - มองเห็นเงาคล้ายมีม่านบังตาบางส่วนเป็นแถบ ๆ
                           - การมองเห็นมัวลง
                  2. ในผู้ป่วยที่มีอาการจอประสาทตาฉีกขาด ต้องรักษาด้วยแสงยิงเลเซอร์หรือจี้ความเย็นเพื่อป้องกันไม่ให้จอประสาทตาฉีกขาดเพิ่มและอุดรูหรือรอยฉีกขาดนั้น เพื่อไม่ให้น้ำวุ้นไหลเซาะไปตามรูที่ขาด ซึ่งจะส่งผลให้เกิดจอประสาทตาหลุดลอกตามมา และอาจทำให้ตาบอดได้       
: แสดงการรักษาด้วยวิธียิงเลเซอร์ ( ภาพบน )
และวิธีจี้ด้วยความเย็น ( Cryotherapy ) ( ภาพล่าง )

                    3. ในผู้ป่วยรายที่จอประสาทตาหลุดลอก จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดแก้ไข เพื่อให้จอประสาทตากลับไปยึดติดดังเดิม การรักษาทำได้หลายวิธีขึ้นอยู่กับความเหมาะสมในผู้ป่วยแต่ละราย ซึ่งมีขั้นตอนที่ยุ่งยากและผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บปวดได้

                     4. การควบคุมหรือรักษาโรคอื่น ๆ ที่จะส่งผลให้เกิดโรควุ้นตาเสื่อม เช่น ในผู้ป่วยรายที่เป็นโรคเบาหวานขึ้นตาควรควบคุมโรคเบาหวานร่วมกับการใช้แสงเลเซอร์เพื่อรักษาโรคจอประสาทตา หรือถ้าหากเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมที่เกิดจากเส้นเลือดใหม่ที่เกิดขึ้นในจอประสาทตา (Neovascu larization) ต้องใช้ยาหรือเลเซอร์เพื่อขจัดหลอดเลือดที่ผิดปกติออกไป 
      










เอกสารอ้างอิง
1.หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.  อาการเห็นเงาหยากไย่ (floaters)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 957.
2.ภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล.  วุ้นตาเสื่อม (Vitreous Degeneration)”.  (อ.พญ.โสมนัส ถุงสุวรรณ).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.si.mahidol.ac.th.  [23 ก.ค. 2017].
3.ภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.  น้ำวุ้นตาเสื่อมตะกอนในวุ้นตาแสงแว่บในตาจอประสาทตาฉีกขาดจอประสาทตาหลุดลอก”.  (นพ.ณวัฒน์ วัฒนชัย).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.med.cmu.ac.th.  [25 ก.ค. 2017].
4.หาหมอดอทคอม.  วุ้นตาเสื่อม (Vitreous Floater)”.  (ศ.เกียรติคุณ พญ.สกาวรัตน์ คุณาวิศรุต).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : haamor.com.  [27 ก.ค. 2017].














โรคจอประสาทตาลอก



            นิยามของโรค
            จอประสาทตาลอกจอตาลอก หรือ จอตาหลุดลอก (Retinal detachment) คือ ภาวะของจอประสาทตาที่มีอาการลอกหรือแยกออกจากตำแหน่งเดิม ผู้ป่วยจะมีอาการมองเห็นแสงแฟลชคล้ายแฟลชถ่ายรูป หรือเห็นแสงสว่างวาบคล้ายฟ้าแลบ และมีอาการมองเห็นคล้ายเงาหยากไย่ที่มีลักษณะเป็นจุดดำหรือเป็นเส้นดำๆ และมีลักษณะอาการตามัวร่วมด้วย มักพบในผู้ป่วยที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป 
            สาเหตุของจอประสาทตาลอก
                1. จอประสาทตาลอกที่พบบ่อยที่สุดมีสาเหตุมาจากการเกิดรูหรือรอยฉีกขาดที่จอประสาทตา (Rhegmatogenous retinal detachment – RRD) ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากตาได้รับความกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ทำให้มีของเหลวของน้ำวุ้นลูกตาแทรกซึมเข้าไปเซาะให้จอตาลอก จะพบผู้ป่วยที่มีอาการจอประสาทตาลอกในผู้ที่มีสายตาสั้น หรืออาจเกิดจากการที่จอประสาทตาลอกที่เกิดรูขาดขึ้นเองโดยไม่ทราบสาเหตุ
                2. จอประสาทตาลอกที่เกิดจากการดึงรั้ง (Tractional retinal detachment – TRD)        เป็นสาเหตุที่พบได้ไม่บ่อย เกิดจากน้ำวุ้นลูกตาดึงรั้งจอประสาทตาในส่วนที่ยึดติดอยู่ใกล้กัน ซึ่งพบในผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานขึ้นตาในระยะสุดท้าย โดยจอรับภาพจะมีลักษณะเส้นเลือดงอกผิดปกติและในน้ำวุ้นลูกตามีเลือดออก ซึ่งพบในผู้ป่วยที่เคยได้รับอุบัติเหตุรุนแรงทางตาทำให้ตาทะลุหรือลูกตาแตก ทำให้ผู้ป่วยมีอาการอักเสบบริเวณน้ำวุ้นลูกตาหรือ       จอประสาทตาซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดชั้นพังผืด
                3. จอประสาทตาลอกที่ไม่มีรูขาดที่จอประสาทตา (Exudative retinal detachment -ERD) พบในกรณีที่เกิดจากอุบัติเหตุหรือเกิดจากการอักเสบ ทำให้มีน้ำรั่วซึมหรือมีของเหลวขังสะสมอยู่ใต้ชั้นของจอประสาทตา ซึ่งมักพบในผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตสูงมาก หรือผู้ป่วยที่มีอาการไตวาย หรือผู้ที่ป่วยด้ยโรคคอรอยด์อักเสบ เป็นต้น
           

              อาการของโรค

               อาการตามัว เกิดจากการที่จอประสาทตาลอกจนถึงบริเวณกลางจอตาตรงจุดรับภาพ จะพบว่าจอประสาทตามีรอยฉีกขาด และมีน้ำหรือของเหลวสะสมอยู่ในชั้นใต้จอประสาทตา ดังรูปข้างล่าง





ภาพแสดงจอประสาทตาที่หลุดลอกเห็นเป็นชั้นจอตาที่เป็นรอยย่น
     
                 - ผู้ป่วยมีอาการมองเห็นผิดปกติ โดยไม่ปรากฏอาการตาแดง เจ็บตา หรือตาแฉะ
                 - ผู้ป่วยจะมองเห็นเป็นแสงวาบคล้ายฟ้าแลบหรือแสงแฟลชถ่ายรูปที่ตาข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้างในขณะที่ผู้ป่วยหลับตาหรืออยู่ในที่มืด  อาการนี้มักจะเกิดในระยะแรก ซึ่งมีสาเหตุมาจากการที่จอประสาทตาถูกดึงรั้งจากน้ำวุ้นลูกตาที่ไหลเข้าไปในจอประสาทตาบริเวณที่มีรูฉีกขาด   
                 - มีอาการเห็นเส้นดำๆ คล้ายเงาหยากไย่ หรือเห็นจุดดำ หรือเห็นลักษณะคล้ายแมลงวันลอยไป-มาอยู่ในลูกตา(Eye floaters) ผู้ป่วยจะมีอาการดังกล่าวชัดเจนเมื่ออยู่ในลักษณะแหงนมองท้องฟ้าหรืออยู่ในที่สว่าง หรือเมื่อมองไปที่ผนังสีขาว หรือก้มลง อาการเหล่านี้จะสร้างความรำคาญแก่ผู้ป่วย แต่เมื่อนานไปผู้ป่วยจะเกิดความเคยชิน
                 - อาการตามัวมองเห็นคล้ายมีหมอกบัง หรือมีเงาคล้ายม่าน หรือเห็นภาพคดงอ เป็นคลื่น
                 - หากปล่อยไว้เป็นเวลานานโดยไม่ได้รับการรักษา ผู้ป่วยจะมีอาการมองเห็นเงาที่ขอบลานของสายตา และจะขยายใหญ่ขึ้นจนเต็มลานสายตาภายในเวลารวดเร็ว


จากภาพด้านบน อาการของจอประสาทตาลอกที่พบคือมีหยากไย่ลอยไปมา
 มีจุดดำใหญ่บ้างเล็กบ้างลอยอยู่ หรือภาพบางส่วนดูบิดเบี้ยวไปจากปกติ

            ปัจจัยเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดจอตาหลุดลอก
                   1. อายุ พบว่าสาเหตุสำคัญที่ทำให้จอประสาทตาลอกเกิดจากน้ำวุ้นลูกตาเสื่อมเมื่ออายุมากขึ้นจึงมีการหดตัวและลอกออกจากจอตา (Posterior vitreous detachment – PVD) ส่งผลให้เกิดการดึงรั้งจอประสาทตา จากสถิติพบว่า ผู้ป่วยด้วยโรคนี้ส่วนใหญ่จะมีอายุมากกว่า 70 ปี ส่วนผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 50 ปี มีจำนวนไม่มากที่ป่วยด้วยโรคจอประสาทตาลอก
                   2. สายตาสั้นมาก ผู้ที่มีสายตาสั้นมากจะมีอาการเสื่อมของน้ำวุ้นลูกตาเร็วกว่าคนสายตาปกติ นอกจากนี้ยังมีอาการจอประสาทตายืดจึงทำให้มีลักษณะบางกว่าคนสายตาปกติ ซึ่งอาการที่ยืดออกไปนี้จะมีการฉีกขาดได้ง่าย
                  3. เคยมีประวัติของการป่วยด้วยโรคจอประสาทตาลอกมาแล้วที่ตาข้างหนึ่ง
                  4. พันธุกรรม คนในครอบครัวมีประวัติการป่วยด้วยอาการจอประสาทตาลอก
                  5. เกิดการอักเสบ ติดเชื้อในลูกตา
                  6. เกิดการแพร่กระจายของมะเร็งหรือเนื้องอกในลูกตา
                  7. เป็นโรคเบาหวานและมีโรคจอประสาทตาแทรกซ้อน
                  8. เกิดอุบัติเหตุที่ตาหรือได้รับบาดเจ็บที่ตาอย่างรุนแรง
                  9. เคยได้รับการผ่าตัดภายในลูกตามาแล้ว เช่น การผ่าตัดต้อกระจก
                 10. เป็นโรคตาบางชนิด เช่น โรคยูเวียอักเสบ (Uveitis), Lattice degeneration, Retinoschisis (โรคจอประสาทตาหลุดลอกชนิดหนึ่ง)

           ภาวะแทรกซ้อนของจอประสาทตาลอก
                  ผู้ที่มีภาวะจอประสาทตาลอก จำเป็นต้องได้รับการรักษา เพราะหากปล่อยไว้อาการอาจลุกลามเข้าไปในบริเวณจอประสาทตาส่วนที่เรียกว่า Macula ซึ่งจะทำให้ตาบอดได้

          เปรียบเทียบลักษณะของตาคนปกติกับที่เป็นโรคมีรูปประกอบ

มีหยากไย่และจุดดำๆลอยอยู่ผิดไปจากปกติ

จากภาพด้านบน บางส่วนของภาพดูบิดเบี้ยวไปจากปกติ
         
          การวินิจฉัยจอประสาทตาลอก
               โรคนี้สามารถตรวจวินิจฉัยได้โดยไปพบแพทย์เพื่อตรวจสายตา ลานตา ตรวจวัดความดันลูกตา การตรวจจะต้องใช้เครื่องมือที่มีกำลังขยายสูงและมีแสงสว่างมากส่องตรวจไปที่จอประสาทตา (Ophthalmoscope) จึงจะสามารถตรวจหาตำแหน่งของจอประสาทตาที่ฉีกขาดหรือมีลักษณะบางผิดปกติ และในบางกรณีอาจตรวจด้วยการทำอัลตราซาวนด์ (Ultrasound)
   


 ภาพแสดงจอประสาทตาที่หลุดลอกเห็นเป็นชั้นจอตาที่เป็นรอยย่น

            แนวทางการแก้ไข 
               1. ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจวินิจฉัยหากพบว่ามีอาการมองเห็นแสงแฟลชหรือแสงสว่างวาบคล้ายฟ้าแลบในตา 
               2. ผู้ป่วยที่มีอาการจอประสาทตาฉีกขาดหรือเป็นรู แพทย์จะรักษาด้วยการยิงแสงเลเซอร์ (Laser photocoagulation) รอบบริเวณที่ฉีกขาดเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำไหลผ่านจนเกิดอาการจอประสาทตาลอก หรือใช้ความเย็นจี้บริเวณรอบ ๆ รูที่ฉีกขาดของจอประสาทตา ซึ่งสามารถยึดจอประสาทตาให้กลับเข้าที่ และในผู้ป่วยบางรายที่มีการฉีกขาดของจอประสาทตาไม่กว้าง แพทย์อาจรักษาด้วยแสงเลเซอร์ โดยยิงแสงเลเซอร์ไปที่จอประสาทตาเพื่อป้องกันไม่ให้รอยฉีกขาดนั้นลอกหรือขยายวงกว้างขึ้น


              3. ในผู้ป่วยรายที่ต้องได้รับการผ่าตัดแก้ไขภาวะจอประสาทตาลอก เพื่อปิดรูที่ฉีกขาดของจอประสาทตาและแก้ไขให้จอประสาทตาแนบติดกับผนังลูกตาเช่นเดิม การผ่าตัดทำได้หลายวิธีตามความเหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย ได้แก่
                   - การใช้ก๊าซฉีดเข้าไปในตา (Pneumatic retinopexy) โดยฉีดตรงบริเวณน้ำวุ้นลูกตาเพื่อดันส่วนที่หลุดลอกให้กลับไปติดอยู่ในตำแหน่งเดิม


       - การผ่าตัดหนุนจอประสาทตา (Scleral buckling) เป็นการผ่าตัดเพื่อหนุนตาขาวให้เข้าไปติดจอประสาทตาที่หลุดลอก โดยใช้ยางหรือวัสดุในการหนุน 
                   - การผ่าตัดน้ำวุ้นลูกตา (Pars plana vitrectomy) ในผู้ป่วยรายที่มีอาการดึงรั้งของน้ำวุ้นลูกตา แพทย์จะรักษาโดยการผ่าตัดน้ำวุ้นลูกตาที่ดึงรั้งจอประสาทตาให้ฉีกขาดออก

                      อย่างไรก็ดี ในการผ่าตัดดังกล่าวข้างต้นต้องทำการรักษาร่วมกับการอุดรอยฉีกขาดของจอประสาทตา เพื่อปิดรอยฉีกขาดนั้นโดยใช้แสงเลเซอร์ความเย็น (Cryotherapy) หรือจี้ด้วยความร้อน (Diathermy)

                     โดยทั่วไปมักใช้วิธีการฉีดก๊าซดันจอประสาทตาที่ลอกให้กลับไปติดยังที่เดิมภายหลังจากการผ่าตัด หลังการรักษาด้วยการฉีดก๊าซเข้าไปดันจอประสาทตา ผู้ป่วยจำเป็นต้องนอนคว่ำหน้า  2-3 สัปดาห์เป็นอย่างงน้อย ซึ่งก๊าซนั้นจะถูกดูดซึมจนหมดไปจากตา ส่วนผู้ป่วยในรายที่ไม่สามารถนอนคว่ำหน้าได้ แพทย์จะใช้สารซิลิโคนเหลว (Liquid silicone) ฉีดเข้าไปแทน ซึ่งภายหลังจากที่จอประสาทตาติดดีแล้วแพทย์จะผ่าตัดนำเอาสารซิลิโคนออก ส่วนความสามารถในการมองเห็นหลังการรักษาจะดีขึ้นมากน้อยเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ผู้ป่วยมีภาวะโรคจอประสาทตาลอกเป็นเวลานานเท่าใด หากมีอาการจอประสาทตาลอกเป็นเวลานานแล้วจึงมารักษา ระดับการมองเห็นอาจไม่ดีนัก ดังนั้นผู้ที่มีอาการผิดปกติทางการมองเห็นจึงควรรีบมาพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาโดยเร็ว

          คำแนะนำหลังการผ่าตัดจอประสาทตา
           - ควรใส่ที่ครอบตาตามเวลาที่แพทย์สั่ง หรือเป็นเวลา 1 เดือน หรืออาจใช้แว่นกันแดดในเวลากลางวัน
           - เมื่อเกิดระคายเคืองตาข้างที่ผ่าตัด ห้ามขยี้ตา หรือใช้มือหรือวัสดุสอดเข้าไปในตา เพราะอาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้
           - ควรใช้ยาหยอดตาหรือยาป้ายตาตามที่แพทย์สั่งเท่านั้น
           - อาจมีอาการเยื่อบุตาขาวอักเสบหลังการผ่าตัด 2-3 วัน มีอาการบวมแดงของเปลือกตา ซึ่งการรักษาอาการดังกล่าวสามารถทำได้โดยใช้น้ำอุ่นประคบหรือนอนให้ศีรษะสูงเพื่อลดอาการบวมแดง
           - ในกรณีที่ผู้ป่วยจะอาบน้ำ ให้ตักน้ำราดตั้งแต่หัวไหล่ลงมา โดยระมัดระวังไม่ใช้น้ำกระเซ็นเข้าตา ดังนั้นจึงไม่ควรใช้ฝักบัวขณะที่ฝักบัวติดอยู่ที่ฝาผนัง ถ้าต้องการใช้ฝักบัวควรใช้มือจับเท่านั้น
           - ในการสระผมควรให้ผู้อื่นสระให้ โดยนอนหงาย หลับตา ระวังอย่าให้น้ำกระเซ็นเข้าตา ปฏิบัติเช่นนี้อย่างน้อย 1 เดือนหรือจนกว่าแพทย์จะอนุญาตให้ตาที่ผ่าตัดนั้นถูกน้ำได้
           - ในการทำความสะอาดบริเวณใบหน้า ควรใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำหมาดๆ เช็ดเบา ๆ เฉพาะตาข้างที่ไม่ได้ผ่าตัด ส่วนข้างที่ผ่าตัดนั้นให้ทำความสะอาดวันละครั้งในตอนเช้าหลังตื่นนอน โดยต้องระมัดระวังเรื่องความสะอาด ควรล้างมือให้สะอาดก่อนทุกครั้ง
           - หลังการผ่าตัดผู้ป่วยสามารถรับประทานอาหารทุกอย่างได้ตามปกติ ยกเว้นผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน โรคไต ซึ่งจำเป็นต้องจำกัดอาหารบางชนิด
           - ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง แต่หากมีอาการผิดปกติ เช่น ตาแดง ปวดตาและมีขี้ตามาก ควรรีบไปพบแพทย์ทันที ถ้ามีการใช้ยาป้ายหรือยาหยอดตาควรนำไปให้แพทย์ดูด้วยทุกครั้ง
           - ไม่ควรออกกำลังกายอย่างหักโหมหลังการผ่าตัดใน 2 เดือนแรก เนื่องจากอาจทำให้ตาได้รับการกระทบกระเทือน ดังนั้นจึงควรระวังในยกของหนักหรือทำงานหนักใน 2 เดือนแรก


               การดูแลตนเองเมื่อมีภาวะจอประสาทตาลอก ผู้ป่วยควรปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้
                  - ควรรีบปรึกษาจักษุแพทย์หากมีภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรคจอประสาทตาลอก เนื่องจากหากพบความผิดปกติในระยะเริ่มต้นจะได้ทำการรักษาได้ทัน
                  - หากมีอาการที่เป็นสัญญาณเตือนการเกิดโรคจอประสาทตาลอก ควรรีบไปพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยทันที ซึ่งอาจจะช่วยป้องกันไม่ให้ตาบอดได้ อาการดังกล่าว เช่น เห็นแสงวาบคล้ายฟ้าแลบหรือแสงแฟลชถ่ายรูปเมื่ออยู่ในที่มืดหรือในขณะหลับตา ในบางกรณีอาจเห็นเป็นจุดสีดำหรือเส้นดำ ๆ คล้ายหยากไย่ ยุง หรือแมลงวัน ลอยไป-มาอยู่ในลูกตา ขั้นตอนในการรักษานั้นไม่ยุ่งยาก การใช้แสงเลเซอร์จะไม่เสียเลือด ไม่ทำให้เกิดความเจ็บปวด และผู้ป่วยสามารถกลับไปพักฟื้นที่บ้านได้โดยไม่ต้องนอนพักในโรงพยาบาล หากไม่ได้รับการรักษาในระยะเริ่มแรกแล้วเกิดอาการจอประสาทตาลอกไปแล้ว เมื่อมารับการรักษาอาจได้ผลที่ไม่แน่นนอนขึ้นอยู่กับระยะเวลาของการเกิดโรคดังกล่าว









เอกสารอ้างอิง
1.หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.  จอตาลอก (Retina detachment)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 956-958.
2.Siamhealth.  “จอประสาทตาลอก Retina detachment”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.siamhealth.net.  [19 ธ.ค. 2016].
3.หาหมอดอทคอม.  โรคจอตาหลุดลอกอาร์อาร์ดี (Rhegmatogenous retinal detachment หรือ RRD)”.  (ศ.เกียรติคุณ พญ.สกาวรัตน์ คุณาวิศรุต).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : haamor.com.  [19 ธ.ค. 2016].
4.ภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล.  รูฉีกขาดที่จอตาและจอตาลอก ? (Retinal Tear and Detachment)”.  (อ.พญ.โสมนัส ถุงสุวรรณ).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.si.mahidol.ac.th.  [20 ธ.ค. 2016].
5.โรงพยาบาลลำปาง.  จอประสาทตาลอก”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.lph.go.th.  [20 ธ.ค. 2016].