ตาแห้ง

http://www.laservisionthai.com/sites/default/files/styles/image_content/public/Dryeye.gif?itok=hnUuY52x

นิยามของโรค
โรคตาแห้งเป็นความผิดปกติของฟิล์มน้ำตาอันเนื่องมาจากน้ำตาผลิตออกมาน้อยเกินไปหรือระเหยออกมามากเกินไปนำไปสู่ความไม่สบายตา

สาเหตุของโรค โรคตาแห้งมีสาเหตุมากมาย เช่น
1. Meibomian gland ทำงานผิดปกติ
2. ฮอร์โมนในร่างกายผิดปกติ
3. การใส่คอนแทคเลนส์
4. เป็นภูมิแพ้
5. ใช้สายตาระยะใกล้นานเกินไป
6. ใช้ยาบางกลุ่ม เช่น ยาคุมกำเนิด ยาแก้แพ้ ยาต้านซึมเศร้า ยาลดความดันโลหิต

อาการของโรค
คนไข้ที่เป็นโรคตาแห้งจะมีอาการ เคืองตา, คันตา, รู้สึกเหมือนมีฝุ่นหรือทรายอยู่ในตา, ตาแดง, แพ้แสง, ตามัว หรือ ไม่สบายตาหลังจากตื่นนอน ซึ่งหากปล่อยไว้ให้ไม่รักษา อาจทำให้เปลือกตาอักเสบหรือกระจกตาเป็นแผลได้

การตรวจวินิจฉัยและการรักษา
การตรวจวินิจฉัยโรคตาแห้ง ทำได้หลายวิธี เช่น การซักประวัติ, การตรวจวัดปริมาณและคุณภาพของน้ำตาเป็นต้น ซึ่งหากพบว่าเป็นโรคตาแห้งสามารถรักษาได้หลายวิธี ดังนี้
1. การหยอดน้ำตาเทียม เพื่อให้ดวงตาชุ่มชื้น
2. การนวดและทำความสะอาดเปลือกตา
3. การประคบอุ่นเป็นประจำเช้าเย็น
4. การลดการใช้สายตาระยะใกล้เป็นเวลานาน ๆ
5. การใช้ยาลดการอักเสบกลุ่ม steroid แต่การใช้ยากลุ่มนี้จะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น

ผลเสียของโรคตาแห้ง
โรคตาแห้งเป็นสาเหตุสำคัญของโรค Computer vision syndrome (CVS) ซึ่งทำให้เกิดอาการแสบตา ไม่สบายตา ตาแดง หรือเคืองตา โดยโรคตาแห้งจะทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง  และคุณภาพชีวิตลดลงตามลงไปด้วย นอกจากนี้คนที่ตาแห้งมาก ๆ อาจมีภาวะแทรกซ้อนทำให้ตาบอดได้

http://www.med.cmu.ac.th/dept/eye/2012/images/knowledge_for_people/d3.png


ฟิล์มน้ำตาของคนเรามีทั้งสิ้น 3 ชั้น ได้แก่
1. ชั้นไขมัน (Lipid layer) อยู่นอกสุด สร้างมาจาก meibomian glands ทำหน้าที่ป้องกันการระเหยของน้ำตา
2. ชั้นน้ำ (aqueous layer) เป็นชั้นกลาง สร้างมาจาก lacrimal glands ทำหน้าที่ให้สารอาหาร ช่วยหล่อเลี้ยงกระจกตา และ ฆ่าเชื้อโรค
3. ชั้นเมือก (mucous layer) อยู่ในสุด สร้างมาจาก goblet cells ทำหน้าที่ช่วยยึดเกาะฟิล์มน้ำตากับกระจกตา
http://www.med.cmu.ac.th/dept/eye/2012/images/knowledge_for_people/d2.png
โรคตาแห้งเกิดจากการผลิตน้ำตาน้อยเกินไปหรือระเหยออกมากเกินไป ซึ่งสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้สายตา สิ่งแวดล้อม ภาวะการอักเสบของตา การใส่เลนส์สัมผัส และการใช้ยาบางชนิดซึ่งส่งผลทำให้เกิดตาแห้งได้


วิธีการป้องกันโรคตาแห้ง มีทั้งสิ้น 3 วิธี ได้แก่
1. การใช้น้ำตาเทียม และ ลดการใช้สายตาเป็นเวลานาน
2. หลีกเลี่ยงแสงแดดและลม หรือ สวมแว่นกันแดดกันลม
3. ลดภาวะอักเสบของตา เช่น หยุดใส่เลนส์สัมผัสหรือคอนแทคเลนส์ เป็นต้น

http://www.med.cmu.ac.th/dept/eye/2012/images/knowledge_for_people/d1.png

น้ำตาเทียมคืออะไร มีกี่ชนิด
น้ำตาเทียม เป็น สารหล่อลื่นให้ความชุ่มชื้นแก่ดวงตา มี 2 ชนิด ได้แก่
1. มีสารกันเสีย (Preservatives) มีอายุ 1 เดือน ทำออกมาหลายรูปแบบ เช่น เจล หรือ ขี้ผึ้ง
2.ไม่มีสารกันเสีย มีอายุ 1 วัน บรรจุในหลอดขนาดเล็ก หรือ ขวดบรรจุพิเศษที่ไม่ให้อากาศเข้าได้ (COMOD system)

ใช้น้ำตาเทียมเป็นประจำแล้วมีอันตรายหรือไม่
น้ำตาเทียมสามารถใช้ได้ตลอด การใช้น้ำตาเทียมบ่อย ๆ ไม่ส่งผลกระทบต่อการสร้างน้ำตาปกติ เพียงแต่สารกันเสียในน้ำตาเทียมอาจทำให้เกิดการระเคืองตาได้ ดังนั้นน้ำตาเทียมชนิดที่มีสารกันเสียไม่ควรใช้บ่อยกว่า 4 ชั่วโมง ควรไปใช้น้ำตาเทียมชนิดไม่มีสารกันเสียจะดีกว่า นอกจากนี้หากต้องใช้ร่วมกับยาหยอดตาอื่น ควรใช้น้ำตาเทียมชนิดไม่มีสารกันเสีย และ หยอดให้ห่างจากยาอีกชนิดเป็นเวลา 5 นาทีขึ้นไป แต่เนื่องจากน้ำตาเทียมชนิดไม่มีสารกันเสียจะดีกว่าน้ำตาเทียมชนิดที่มีสารกันเสีย ทำให้น้ำตาเทียมชนิดไม่มีสารกันเสียจึงมีราคาแพงกว่านั่นเอง










              อ้างอิง
https://www.bumrungrad.com/th/vision-eye-examination-surgery-center-bangkok-thailand/conditions/dry-eyes http://www.med.cmu.ac.th/dept/eye/2012/index.php?option=com_content&view=article&id=331:2015-10-21-07-27-51&catid=17:knowleadge&Itemid=394

1 ความคิดเห็น:

  1. Retinitis Pigmentosa refers to a group of diseases which cause a slow but progressive vision loss. In each of them there is a gradual loss of the light-sensitive retinal cells called rods and cones. Best retinitis pigmentosa treatment

    ตอบลบ