นิยามของโรค
โรควุ้นตาเสื่อม หรือที่เรียกว่า วุ้นในตาเสื่อม, น้ำวุ้นตาเสื่อม, น้ำวุ้นลูกตาเสื่อม
หรือ น้ำวุ้นลูกตาตกตะกอน (ภาษาอังกฤษ : Vitreous floaters, Eye floaters หรือ Floaters)
เป็นภาวะที่พบมากในผู้ที่อยู่ในช่วงวัยกลางคน มีอาการมองเห็นเป็นจุดเล็ก ๆ
หรือมีลักษณะเป็นเส้น ๆ วง ๆ ลอยไปลอยมาในลูกตา หรืออาจมองเห็นเป็นเงาดำคล้ายยุง
ลูกน้ำ หยากไย่ ในลูกตาข้างเดียวหรือทั้ง 2 ข้าง
เมื่ออยู่ในที่สว่างจะเห็นได้ชัดเจน เช่น เมื่อแหงนมองท้องฟ้า
หรือมองไปที่ผนังสีขาว
ผู้ป่วยจะรู้สึกรำคาญเนื่องจากการเห็นภาพคล้ายหยากไย่ลอยอยู่ไป-มา
แต่หากปล่อยนานไปก็จะรู้สึกชินกับการรับภาพดังกล่าว
หน้าที่ของวุ้นลูกตา คือ
เป็นตัวกลางให้แสงผ่าน และยังช่วยพยุงลูกตาให้สามารถคงรูปเป็นทรงกลม
นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งอาหารให้แก่แก้วตา จอประสาทตา และเนื้อเยื่อซีเลียรีบอดี้ (Ciliary body) จากสถิติพบว่า
วุ้นลูกตาจะคลายความหนืดลงเมื่ออายุมากขึ้น ในผู้ที่มีอายุ 80 ปี
จะมีลักษณะของวุ้นลูกตาที่กลายสภาพเป็นน้าใสประมาณครึ่งหนึ่งของวุ้นตาทั้งหมด
ในผู้ป่วยรายที่มีสายตาสั้น พบว่า วุ้นลูกตาจะเสื่อมเร็วกว่าคนสายตาปกติ
ซึ่งจะส่งผลให้เกิดภาวะจอประสาทตาหลุดลอกได้
เนื่องจากวุ้นลูกตาที่เสื่อมจะไม่สามารถยึดติดกับจอประสาทตาได้
อาการของโรค
เมื่อเรากลอกตาไปมาจะมองเห็นเป็นจุดเล็ก
ๆ เส้น ๆ หรือเป็นเงาดำคล้ายหยากไย่ ยุง ลูกน้ำ หรือแมลง หรืออาจมองเห็นเป็นวง ๆ
ลอยไปลอยมาตามการกลอกตา
ซึ่งลักษณะดังกล่าวอาจเกิดขึ้นที่ตาข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง
อาจเห็นเพียงจุดเดียวหรือหลายจุดก็ได้ อาการดังกล่าวไม่เป็นอันตรายกับลูกตา และไม่ทำให้สายตามัวลง
แต่ผู้ป่วยด้วยโรคนี้จะเกิดความรำคาญในการมองเห็น
หากเมื่อนานไปผู้ป่วยก็จะรู้สึกชินกับภาวะดังกล่าวได้
โดยทั่วไปอาการดังกล่าวจะไม่ปรากฏชัดเจนตลอดเวลา
แต่ผู้ป่วยสามารถสังเกตได้เมื่ออยู่ในที่ที่มีแสงสว่าง เช่น
เมื่อมองที่กระดาษสีขาว มองที่ผนังสีขาว หรือเมื่อแหงนมองไปบนท้องฟ้า
หรือเมื่อกลอกตาไปทางซ้ายและขวา เป็นต้น
อาการของวุ้นตาเสื่อมจะเกิดการหดตัวและส่งผลต่อการดึงรั้งจอประสาทตา
ทำให้เกิดการมองเห็นแสงแฟลชถ่ายรูปหรือแสงวาบคล้ายฟ้าแลบในลูกตาได้เมื่ออยู่ในที่มืด
อาการดึงรั้งจอประสาทตานี้อาจทำให้เกิดจอประสาทตาฉีกขาด (Retinal
tear) หรือเกิดภาวะจอประสาทตาหลุดลอก (Retinal
detachment) ทำให้สูญเสียการมองเห็น หรือที่เรียกว่า ตาบอดได้
ปัจจัยเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดวุ้นในตาเสื่อม
1.เมื่อมีอายุมากขึ้น
พบในผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป
2.ผู้ที่มีสายตาสั้นมากกว่า 600
3.ผู้ที่มีอาการอักเสบในลูกตา
หรือได้รับอุบัติเหตุทางดวงตาหรือบริเวณศีรษะ หรืออาจเคยผ่าตัดตามาก่อน เช่น
การผ่าตัดต้อกระจก เป็นต้น
4.ผู้ป่วยที่มีภาวะเบาหวานขึ้นตา
5.ผู้ป่วยที่เป็นโรคตาบางชนิดที่ส่งผลให้วุ้นตาเสื่อม
เช่น Jansen disease, Wagner disease, Stickler syndrome เป็นต้น
เปรียบเทียบลักษณะของตาคนปกติกับที่เป็นโรค
เทียบกับตาของคนปกติ ผู้ป่วนวุ้นในตาเสื่อมมี floaters ลอยอยู่ในตา
เมื่อแสงเข้ามาในตาแสงจะหักเหทำให้เกิดเงาขึ้นบนขอประสาทตา
ผู้ป่วยจะเห็นภาพเหมือนหยากไย่ลอยอยู่ทำให้รู้สึกรำคาญ
การป้องกันวุ้นตาเสื่อม
โดยทั่วไปหากวุ้นตาเสื่อมตามธรรมชาติจะไม่มีวิธีการป้องกันได้
แต่หากเกิดจากภาวะอื่นที่ส่งผลให้เกิดโรควุ้นตาเสื่อมก็จะสามารถป้องกันได้ตามลักษณะการเกิดจากสาเหตุนั้นๆ
เช่น โรคเบาหวาน เป็นต้น ข้อแนะนำที่พึงปฏิบัติเพื่อป้องกันโรควุ้นตาเสื่อมมี
ดังนี้
1.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ โดยเลือกออกกำลังให้เหมาะสมกับสุขภาพ
ร่างกายของตน
2.รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่
3.ควรงดสูบบุหรี่
4.พยายามหลีกเลี่ยงการเกิดอุบัติเหตุที่จะส่งผลกระทบต่อดวงตา
5.มีการแนะนำให้ใช้วิตามินหรืออาหารเสริม
แต่ก็ยังไม่มีการรับรองผลที่แน่นอน
6.ในผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน
ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง
ควรควบคุมดูแลโรคดังกล่าวเพื่อไม่ให้เสี่ยงต่อการเกิดภาวะโรควุ้นตาเสื่อม
แนวทางการแก้ไข
ควรรีบไปพบจักษุแพทย์เมื่อมีอาการวุ้นลูกตาเสื่อ
เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุของโรค และทำการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
1. ในผู้ป่วยรายที่มีอาการมองเห็นเงาดำลอยไป-มา
แต่ไม่มีการฉีกขาดของจอประสาทตา ควรไปปรึกษาแพทย์เป็นระยะ ๆ สม่ำเสมอ
และหมั่นสังเกตการเปลี่ยนแปลงอาการของโรค แต่ไม่ต้องทำการรักษาแต่อย่างใด
เนื่องจากร่างกายจะชินกับสภาพการมองเห็นในลักษณะดังกล่าวได้เอง
หากพบว่ามีอาการเปลี่ยนแปลงดังต่อไปนี้ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
- เห็นเงาดำจุดใหญ่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
- มองเห็นแสงแฟลชถ่ายรูปหรือแสงวาบคล้ายแสงฟ้าแลบในตา
- มองเห็นเงาคล้ายมีม่านบังตาบางส่วนเป็นแถบ
ๆ
- การมองเห็นมัวลง
2. ในผู้ป่วยที่มีอาการจอประสาทตาฉีกขาด ต้องรักษาด้วยแสงยิงเลเซอร์หรือจี้ความเย็นเพื่อป้องกันไม่ให้จอประสาทตาฉีกขาดเพิ่มและอุดรูหรือรอยฉีกขาดนั้น
เพื่อไม่ให้น้ำวุ้นไหลเซาะไปตามรูที่ขาด ซึ่งจะส่งผลให้เกิดจอประสาทตาหลุดลอกตามมา
และอาจทำให้ตาบอดได้
: แสดงการรักษาด้วยวิธียิงเลเซอร์ ( ภาพบน )
และวิธีจี้ด้วยความเย็น
( Cryotherapy ) ( ภาพล่าง )
3. ในผู้ป่วยรายที่จอประสาทตาหลุดลอก จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดแก้ไข
เพื่อให้จอประสาทตากลับไปยึดติดดังเดิม การรักษาทำได้หลายวิธีขึ้นอยู่กับความเหมาะสมในผู้ป่วยแต่ละราย
ซึ่งมีขั้นตอนที่ยุ่งยากและผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บปวดได้
4. การควบคุมหรือรักษาโรคอื่น
ๆ ที่จะส่งผลให้เกิดโรควุ้นตาเสื่อม เช่น ในผู้ป่วยรายที่เป็นโรคเบาหวานขึ้นตาควรควบคุมโรคเบาหวานร่วมกับการใช้แสงเลเซอร์เพื่อรักษาโรคจอประสาทตา
หรือถ้าหากเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมที่เกิดจากเส้นเลือดใหม่ที่เกิดขึ้นในจอประสาทตา
(Neovascu larization) ต้องใช้ยาหรือเลเซอร์เพื่อขจัดหลอดเลือดที่ผิดปกติออกไป
เอกสารอ้างอิง
1.หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2. “อาการเห็นเงาหยากไย่ (floaters)”. (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ). หน้า 957.
2.ภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล. “วุ้นตาเสื่อม (Vitreous Degeneration)”. (อ.พญ.โสมนัส ถุงสุวรรณ). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.si.mahidol.ac.th. [23 ก.ค. 2017].
3.ภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. “น้ำวุ้นตาเสื่อม–ตะกอนในวุ้นตา–แสงแว่บในตา–จอประสาทตาฉีกขาด–จอประสาทตาหลุดลอก”. (นพ.ณวัฒน์ วัฒนชัย). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.med.cmu.ac.th. [25 ก.ค. 2017].
4.หาหมอดอทคอม. “วุ้นตาเสื่อม (Vitreous Floater)”. (ศ.เกียรติคุณ พญ.สกาวรัตน์ คุณาวิศรุต). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : haamor.com. [27 ก.ค. 2017].
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น